หนูก็เลยไม่ได้ถามตรงนั้นและอีกอย่างก็รู้สึกว่า ถ้าเค้าอยากจะเล่า เค้าเล่าเอง หนูมีพี่น้อง 4 คน มีพี่สาว พี่ชาย ตัวซา และน้องสาวค่ะ ซาเป็นผิวสีคนเดียว”
เรามีความคิดอยากตามหาคุณพ่อไหม?
“ไม่นะคะ หนูอยู่ตรงนี้หนูมีความสุขดี แต่ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสได้เจอก็อยากรู้แหละ เค้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา เราก็อยากรู้ว่าหน้าตาเค้าเป็นยังไง ทัศนคติเค้าเป็นยังไง วิธีการพูด วิธีการคิดเค้าเป็นยังไง ก็อยากทำความรู้จักเหมือนกัน
คือหนูไม่ได้รู้มาตั้งแต่แรกแม่มาบอกว่า พ่อแยกกัน เธอมีพ่อ บอกตอนอายุ 15 หนูเลยชินกับการที่ไม่ได้พูดถึงพ่อ และไม่ได้รู้สึกว่าต้องเจอหรือยังไง และถ้ามีโอกาสได้เจอหนูอยากเจออยู่แล้ว”
อยากใช้ตรงนี้เพื่อตามหาพ่อไหม?
“ถ้ามันเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ทำให้ได้เจอกันหนูก็คิดว่าเป็นทิศทางที่ดีนะคะ เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร”
ชีวิตที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง?
"หนูอยู่กับแม่ที่สระบุรีค่ะ ก็เรียนโรงเรียนออกแนวชนบทหน่อย แต่ก็มีความสุขนะคะ การเดินทางอาจจะยากลำบาก ไกลนิดนึง แต่ว่าอย่างอื่นก็ไม่ได้มีอุปสรรค หนูใช้ชีวิตปกติเลย เช้าก็ตื่นไปให้ทันรถโดยสารรอบ 6 โมงตรง ถ้าพลาดรอบนี้หนูจะไปสาย เพราะฉะนั้นต้องตื่นให้ทันรอบนี้ทุกๆ วัน นั่งรถโดยสารประมาณ 7-10 กิโล ไปกลับโรงเรียน แล้วบวกกับตอนที่หนูเรียนชอบทำกิจกรรมมาก หลังเลิกเรียนหรือพักกลางวันก็จะใช้เวลาทำกิจกรรม"
ความมั่นใจของเราเป็นแบบนี้มานานแล้วใช่มั้ย?
"เป็นมานานแล้วค่ะ มันเกิดจากแม่ คือตอนแรกที่หนูไปโรงเรียนวันแรกวันนั้นหนูโดนล้อที่โรงเรียนหนักมาก แล้วกลับมาหาแม่และบอกเค้าว่า หนูไม่อยากไปโรงเรียนเลย มันไม่สนุก มีแต่คนว่าหนู เค้าว่าทุกอย่างเลย แต่ตอนนั้นหนูไม่ได้โกรธนะ แต่หนูไม่เข้าใจ
เพราะหนูเห็นคนไทยที่ผิวคล้ำเท่าหนูหรือมากกว่าหนู ก็ล้อหนูว่าผิวดำ หนูเห็นคนที่ผมหยิกเท่าหนู ก็ล้อหนูว่าผมหยอง หนูก็เลยไม่เข้าใจว่า เรากับคุณต่างกันยังไง ตอนเด็กเราไม่เข้าใจเรื่องเชื้อชาติ เลยจะงงๆ มากกว่า แต่พอโดนอย่างนี้ทุกวันเลยไม่โอเค
เลยกลับมาคุยกับแม่ว่า ไม่โอเคเลย แม่เลยพูดว่าเอาอย่างนี้ถ้าไปแล้วโดนแกล้ง โดนว่าแล้วไม่สู้ เธอคาดหวังอะไร แบบไม่สู้เองแล้วรอให้ใครช่วย เค้าก็เลยบอกว่าถ้าวันไหนกลับมาแล้วโดนแกล้ง เค้าจะตีซ้ำเท่าจำนวนที่โดนมา หมายความว่าเค้าสอนให้เราต้องสู้ตั้งแต่เด็กค่ะ
หนูไม่ได้มีปัญหากับรูปร่างหน้าตาตนเองนะ หนูออกจะภูมิซ้ำ หนูสวยตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่าหน้าหนูมันแย่หรืออัปลักษณ์ แล้วหนูภูมิใจของหนูมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งพอแม่มาพูดอย่างนี้ปุ๊บ หนูมีความมั่นใจไปอีก ครอบครัวเป็นสถาบันที่เล็กที่สุดและอบอุ่นที่สุดสำหรับหนู
พี่น้องหนูถึงจะเป็นเอเชียนะคะ แต่ทุกคนในบ้านไม่เคยพูดหรือล้อหนูเรื่องสีผิวแม้แต่ครั้งเดียว หนำซ้ำเค้าออกรับหนูแทนด้วย คนกลุ่มนี้คือคนที่ซัพพอร์ตหนูและดูแลหนูมากที่สุด ครอบครัวมันก็เลยดีมั้งคะ ส่งให้หนูมั่นใจไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีปัญหาตรงนี้"
อยากบอกอะไรคนที่มองเหยียดเราบ้างมั้ย?
"จริงๆ หนูไม่ได้อยากบอกอะไรเค้านะคะ ถ้าเค้าคิดได้ตั้งแต่แรกอะไรพวกนี้มันก็จะไม่ออกมาอยู่แล้ว มันเป็นระบบความคิด กระบวนการความคิดของแต่ละบุคคลไป ซึ่งหนูคอนโทรลไม่ได้อยู่แล้ว แต่สุดท้ายที่สุด ถ้าหนุอยากจะบอก ณ จุดนี้ หนูอยากจะบอกกับเด็กหลายๆ คนที่ยังผ่านตรงนี้ไปไม่ได้มากกว่า
แน่นอนว่าแต่ละคนต้นทุนไม่เท่ากัน ครอบครัวอาจจะไม่ได้อบอุ่นเท่าหนู บางครอบครัวอาจจะไม่ได้ซัพพอร์ตมากขนาดนี้ แต่ให้ดูเราว่าเราแทบไม่มีต้นทุนอะไรเลยในชีวิต แต่ท้ายที่สุดเรายังผ่านมาได้ มันเริ่มจากข้อเดียวคือเรารักและภาคภูมิใจในตัวเอง ถ้าเราเริ่มจากข้อนี้ได้ คุณทำอะไรก็ได้แล้วในโลกนี้"
ชีวิตที่ผ่านมาของเราลำบากมั้ย?
"ลำบากค่ะ เราอยู่กับการที่เดี๋ยวโดนตัดน้ำตัดไฟ เดี๋ยววันนี้มีน้ำอีกสักพักไฟตัด จุดเทียนอ่านหนังสือ เขียนหนังสือเป็นเรื่องปกติ หนูชินมั้ง เลยไม่รู้สึกลำบากอะไร คือบ้านหนูมันจะเป็นเหมือนฝายข้ามน้ำ แล้วน้ำจะท่วมทุกปี
เพราะฉะนั้นชุดนักเรียนที่หนูจะไปโรงเรียนทุกวันก็จะเป็น เสื้อนักเรียน กางเกงสเตย์ แล้วถอดกระโปรงพับใส่ถุงใส่กระเป๋านักเรียน เอารองเท้าใส่กระเป๋า แล้วก็จะเดินข้ามน้ำมา พอมาถึงก็จะไปขอบ้านเพื่อนเค้าล้างเท้า เปลี่ยนชุดแล้วค่อนขึ้นไปโรงเรียน
หรือช่วงไหนที่ไฟตัด หนูก็จะใส่ชุดที่ยับไปก่อน แล้วไปถึงโรงเรียนให้เร็วที่สุด แล้วเข้าไปหาครูที่ปรึกษาเพื่อเอาเตารีดไปรีดผ้า เราจะไปบอกว่าครูคะ ไฟหนูตัดหนูเลยรีดผ้าไม่ได้ บอกแบบนั้นไม่ได้ มันมีวิธีแก้ปัญหา หนูเลยต้องแก้ปัญหาก็ไปโรงเรียนให้เช้าที่สุด สุดท้ายหนูมีเสื้อผ้าเรียบ ไปทันเข้าแถวเช้าทุกวัน"
"ไฟโดนตัดเพราะเราไม่มีเงินจ่าย ภาระการเลี้ยงดูทั้งหมดคืออยู่ที่แม่ แม่หนูเค้าประสบอุบัติเหตุประมาณช่วงหนูอายุ 14-15 แขนข้างหนึ่งเค้าจะใช้การไม่ได้ ทำงานหนักไม่ได้ คือค่าใช้จ่ายก็เริ่มไม่พอแล้ว แต่เมื่อก่อนถึงมีไม่เยอะ
แต่ก็พอใช้จ่ายในบ้าน พอเค้าใช้จ่ายไม่ได้ หนูก็เริ่มผันตัวเองมาเป็นเสาหลักแล้ว พออายุ 15 ปุ๊บ สิ่งแรกที่ทำคือไปสมัครงานเซเว่น พอกลับมาก็ไปรับจ้างล้านชาม เพื่อเอาเงินตรงนั้นมาเรียน เสาร์-อาทิตย์ไปรับจ้างตัดข้าวโพด เพื่อวันจันทร์-ศุกร์จะได้มีเงินไปเรียน"
อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เราก้าวผ่านอุปสรรคในชีวิตได้?
"มันมีช่วงที่ผ่านไปไม่ได้อยู่นะคะ แต่ว่าหนูรู้สึกว่าหนูรักตัวเอง ไม่อยากเห็นตัวเองเศร้า มันมีซีนนึงที่หนูรู้สึกว่าอันนี้มันจะไม่เกิดขึ้นกับหนูอีกแล้ว จะไม่ร้องไห้กับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว คือหนูโดนเพื่อนว่ามากจนเก็บไปฝันว่า ถ้าตื่นเช้ามาแล้วขาว ทุกคนจะรักเรา
พอตื่นเช้ามาอันดับแรกที่ทำคือ เอาสก๊อตไบร์ทมาขัดตัวหนูเพื่อให้ขาวขึ้น แต่สุดท้ายมันแสบ ไม่ช่วยอะไร ถึงเรานอนตื่นมาผิวเราก็ยังสีนี้อยู่ ผมเราก็ยังหยิกอยู่ เพราะฉะนั้นเราต้องยอมรับตรงนี้ให้ได้ แล้วแม่หนูเองเค้าไมาเคยพูดเลยนะว่า เธอต้องขาวขึ้นนะจะได้สวยเหมือนลูกบ้านนั้น ต้องหนีบผมสิจะได้สวยเท่าลูกบ้านนี้
เค้ามีแต่บอกว่า แบบนี้แหล่ะสวย แบบนี้แหล่ะดี เป็นตัวเองแบบนี้สวยแล้ว หนูก็เลยผ่านตรงนั้นมาได้ และรู้สึกว่าถ้าหนูล้ม ใครจะซัพพอร์ตแม่และน้อง เพราะเรากันแค่นี้ ไม่มีญาติเยอะ เราต้องดูแลซึ่งกันและกันเอง ที่หนูผ่านตรงนั้นมาเพราะอยากให้แม่สบาย และคุณภาพชีวิตของแม่ดีขึ้น เพราะตอนนี้หนูก็เป็นเสาหลักของที่บ้าน ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่ะ"
เราเคยไม่มีขนาดไหน?
"คำว่าไม่มีแม้แต่บาทเดียวเกิดขึ้นกับหนูนะ หนูจะต้องขึ้นรถโดยสาร 10 บาา สิ่งที่หนูทำ มันไม่มีเงินน่ะ แต่หนูต้องไปโรงเรียนแล้ว พอลงรถก็ได้แต่ขอบคุณค่ะ แล้วเดินเข้าโรงเรียน ก็บอกเค้าว่า พี่คะ ถ้าวันไหนหนูมีหนูเอามาคืนนะ เค้าบอกว่าไม่เป็นไร มันไม่มีคือมันไม่มีจริงๆ
วันไหนไม่มีข้าวจะกินกับแม่ ก็เอาน้ำร้อนต้ม แล้วที่บ้านจะมีบ่อปลาข้างบ้านถัดไป 4 บ่อ จะเด็ดผักบุ้งมาต้มใส่เกลือ แล้วมานั่งกินกับแม่ก็ขำกัน เพราะหนูเคยผ่านมาแล้ว เจออีกกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร ไม่ได้มานั่งโอดโอยอะไร"
จุดเปลี่ยนที่ทำให้เราเข้ามาประกวด?
"อันแรกเลยคือหัวข้อ “Real You, Real Universe” เวทีนางงามเค้าจะต้องโฟกัสความงามจากภายนอกอยู่แล้ว อย่างน้อยบุคลิกภาพต้องดี ทีนี้เราจะเอาอะไรไปสู้กับเค้า พอมีคีย์เวิร์ดนี้มา เราเป็นตัวเองได้ 100% คนเรามันหลากหลาย
มีความงามได้ทุกรูปแบบแล้วเวทีกว้างมาก ต้องขอบคุณจริงๆ ที่ไม่ได้โฟกัสว่าเราต้องเป็นผิวสี หรือเป็นแบบพิมพ์นิยมจริงๆ แล้วไม่ให้เราเข้า ต้องขอบคุณโอกาสที่ให้เราจริงๆ ทุกๆ อย่างให้เราปล่อยของได้ทำเต็มที่ หนูก็เลยมา
ไม่ได้มาเพื่อจะบอกว่า มาจ้างงานหนูนะ หรือมาเพื่อให้ซัพพอร์ตหนูนะ หนูมาแค่ว่าในจุดนี้ หนูมาเพื่อให้คนอื่น ให้เด็กรุ่นใหม่มองมาแล้วรู้สึกว่า พี่คนนี้เจ๋งว่ะ ผ่านมาได้ ทำไมฉันจะผ่านไม่ได้ หนูมาเพื่อให้คนอื่น มาเพื่อจะส่งต่อให้สิ่งที่เค้ามีอยู่ ให้กับผู้หญิงทุกคนในโลกนะ ไม่ได้มองแค่ปัญหาในประเทศไทย เพราะปัญหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว มันเป็นปัญหาของคนทั้งโลก มันไม่ได้รับการแก้ไขแบบตรงจุดสักที"
คาดหวังกับเวทีนี้ยังไง?
"จริงๆ หนูคาดหวังให้ได้มากที่สุดค่ะ อย่างที่บอกเค้าไม่ได้วัดความงามกันอย่างเดียว ถ้าวัดความงามแบบพิมพ์นิยม หนูบอกเลยว่าหนูไม่สู้ใคร แต่ความมั่นใจใครก็ไม่สู้หนูเหมือนกัน"
เรื่องภาพที่ถูกแชร์มาเรื่องห้องเช่าของเรา?
"ใช่ค่ะ ก็คือตอนแรกหนูเคยมาเช่าห้องตรงนี้อยู่แล้ว ตอนสมัยเรียนราม แล้วพอเรียนจบก็กลับไปอยู่สระบุรี เพราะมีค่าใช้จ่ายเยอะ แล้วตอนช่วงประกวดหนูไปกลับจากสระบุรี ซึ่งมันนั่งรถไปกลับ ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ คือมันต้องใช้สมองหนัก ร่างกายมันต้องพร้อม
ต่อให้หนูมีศักยภาพขนาดไหน แต่พักผ่อนไม่พอ มันก็ตอบเอ๋อได้ เพราะว่าเค้าวัดหนูทุกวินาที เช็คตั้งแต่เดินเข้ากองเลยว่า คุณขาดตรงไหน คุณบกพร่องในเรื่องอะไร มันจะใช้ในการเก็บคะแนนทั้งหมด หนูไม่อยากให้พลาดสักจุดเดียว หนูก็เลยมาเช่า
แต่ทีนี้ในรอบ 30 คน หนูก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะเข้ารอบ เลยคุยกับแม่ว่ายังไงดี ถ้าเราไม่เข้ารอบ 30 ก็เป๋วเลย เพราะว่าต้องมัดจำห้อง 3 เดือน แม่ก็บอกว่าลองดูก่อนมั้ย อย่างน้อยถ้าไม่เข้ารอบ 30 ก็ลองคิดดูว่าจะทำอะไรต่อไปได้บ้าง เลยเช่าก่อนวันออดิชั่นค่ะ ประมาณวันที่ 6 ค่ะ แล้วข้าวของมันก็เยอะ เพราะไม่มีเวลาจัด คือหนูขนขึ้นก่อนทั้งหมด ก็เลยเละเทะไปทั้งหมด
พอเราได้เข้ารอบ 30 คน ก็โอเค เงิน 1,500 บาทที่เราจ่ายไปมันก็ไม่เสียฟรีค่ะ ค่าเช่าเดือนละ 1,500 บาทค่ะ มันอยู่ไกลนิดหน่อย อาจจะต้องตื่นเช้านิดนึง แต่มันก็เซฟหนู อย่างที่บอกไม่รู้เราจะเข้ารอบ 30 คนมั้ย ถ้าหนูจ่าย 3,500-4,000 บาท ก็เท่ากับหนูอยู่ได้ 2 เดือน ไหนจะค่ารถ ค่ากินอีก
หนูเครียดมาก ตอนแรกสะสมเงินไว้ก้อนนึง แต่มาเจอช่วงโควิด เลยทำให้ต้องเอาเงินก้อนนั้นมาใช้หมดเลย พอหมดปุ๊บมันก็เครียด เลยโพสต์ในโซเชียลว่า ใครที่สามารถซัพพอร์ตหนูได้ก็สามารถจ้างงานได้ เพราะไม่อยากรับเงินจากใคร รู้สึกว่าถ้าจ้างงานหนู หนูก็ทำงานให้ ก็เป็นการแลกเปลี่ยนกัน อยู่ๆ คุณโอนเงินมาให้เฉยๆ หนูรู้สึกว่าเราได้เฉยๆ รู้สึกไม่สบายใจ
แต่โชคดีที่เพื่อนๆ สมัยมัธยม ผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเรา เค้าก็รวมเงินมาให้หนูส่วนหนึ่ง เพื่อที่จะได้ต่อยอดได้ ก็เลยมีค่ารถไปกลับ ตอนที่มาประกวดหนูจ่ายเองทั้งหมดทุกอย่างค่ะ เพราะไม่มีทีมซัพพอร์ตค่ะ แต่พอมาตรงนี้ก็จะมีเพื่อนๆ ที่เคยทำงานด้วยกัน เค้าก็จะมีคอนเนคชั่นมาแนะนำเรา"
"ห้องที่หนูอยู่เป็นห้องเปล่า สภาพอย่างทีเห็นเลย หนูอยู่ได้ค่ะ สำหรับหนูก็แค่ที่นอนค่ะ แม่ก็มาอยู่ด้วย คือหนูเป็นห่วงเค้า บ้านที่สระบุรีถึงจะเป็นบ้านไม้ปกติ มันกว้างกว่านี้ แม่หนูสุขภาพไม่ค่อยดีด้วย เป็นห่วงเค้า อีกอย่างคือพอหนูมาทำกิจกรรม ก็จะไม่มีคนดูเค้า เลยเป็นห่วงตรงนี้มากกว่า"
แม่ให้กำลังใจยังไงบ้าง?
"เค้าก็บอกว่าทำเลย ไปเลย เธอทำได้ ทำไปเถอะ เค้ารู้ว่าหนูชอบตรงนี้ จริงๆ การประกวดนางงามเป็นความฝันสูงสุดในชีวิตหนูเลยนะ หนูเคยพูดปุ๊บ คนจะบอกว่า อย่าไปเลย ไม่สวย ไม่ขาว ทำไม่ได้ และเค้าก็บอกว่า ถ้าสมมติว่าเธอฟลุ๊คได้ แล้วไปยืน ก็บอกคนอื่นไม่ได้ว่าเป็นตัวแทนประเทศไทย
ก็อยากจะถามกลับนิดนึงนะ ทุกวันนี้เค้าแบ่งจากอะไรว่าใครไทยไม่ไทย หนูกินอาหารไทย พูดภาษาไทย หนูเกิดที่นี่ ภาษาอังกฤษแทบจะพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วทำไมตัดสินว่าหนูเป็นตัวแทนประเทศไทยไม่ได้"
เราหวังว่าหลังจบการประกวดชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง?
"หนูว่าก็ต้องหวังอยู่แล้วค่ะ เราจะทำสิ่งอื่นใดในชีวิต เราไม่นึกถึงการก้าวหน้าในชีวิตเหรอ ถ้าอย่างนั้นนอนอยู่บ้าน ไม่ต้องมา ถูกมั้ย เราคาดหวังให้มันดีขึ้นไปอยู่แล้ว และถ้าเกิดชีวิตหนูดีขึ้น คนข้างหลังก็ดีด้วย
แม่ก็สบาย พี่น้อง หลานหนูก็ดีขึ้น มันไม่ได้ดีขึ้นแค่หนูคนเดียว ถ้าคุณซัพพอร์ตเรามา คุณช่วยอีกหลายๆ คนในชีวิตด้วย ก็ฝากเป็นกำลังใจด้วยนะคะ กับ MUT 50 ซามีน่า ศิริลักษณ์ ทรงศรีค่ะ".
"ผิว" - Google News
September 24, 2020 at 12:47AM
https://ift.tt/3i3PuE8
เปิดชีวิต ซามีน่า MUT2020 นางงามผิวสีบ้านจนผู้ไม่เคยมองที่ต้นทุนชีวิต (คลิป) - ไทยรัฐ
"ผิว" - Google News
https://ift.tt/2XmUw7i
No comments:
Post a Comment